แผ่นรองนอนในเต็นท์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
- แผ่นรองนอนแบบเป่าลม (Air mattress)
แผ่นรองนอนแบบเป่าลม ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความนุ่มสบาย รองรับสรีระได้ดี พกพาสะดวก น้ำหนักเบา และไม่รั่วซึมง่าย แต่มีข้อเสียคือราคาค่อนข้างสูง และต้องระมัดระวังไม่ให้โดนหนามหรือกิ่งไม้แหลมคม
- แผ่นรองนอนแบบโฟม (Foam pad)
แผ่นรองนอนแบบโฟม มีราคาถูกกว่าแผ่นรองนอนแบบเป่าลม น้ำหนักค่อนข้างมาก แต่มีความทนทานสูง กันน้ำได้ดี ไม่รั่วซึม และทนต่อแรงกดทับได้ดี แต่อาจไม่นุ่มสบายเท่าแผ่นรองนอนแบบเป่าลม
นอกจากนี้ แผ่นรองนอนทั้งสองประเภทยังมีความแตกต่างกันในด้านของน้ำหนัก ความหนา และความยืดหยุ่น ซึ่งขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ การออกแบบ และเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งการเลือกแผ่นรองนอนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น งบประมาณ น้ำหนัก พื้นที่ในการเก็บ สภาพอากาศ และลักษณะการใช้งาน
ปัจจัยในการเลือกแผ่นรองนอน
- งบประมาณ แผ่นรองนอนมีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ การออกแบบ และเทคโนโลยีการผลิต
- น้ำหนัก แผ่นรองนอนแบบเป่าลมมีน้ำหนักเบากว่าแผ่นรองนอนแบบโฟม แต่แผ่นรองนอนแบบโฟมมีความหนาและยืดหยุ่นมากกว่า
- พื้นที่ในการเก็บ แผ่นรองนอนแบบเป่าลมสามารถพับเก็บได้เล็กกว่าแผ่นรองนอนแบบโฟม จึงสะดวกในการพกพา
- สภาพอากาศ หากต้องกางเต็นท์ในสภาพอากาศหนาวเย็น ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีค่า R-value สูง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียความร้อน
- ลักษณะการใช้งาน หากต้องกางเต็นท์ในป่าหรือพื้นที่ที่มีภูมิประเทศขรุขระ ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีความหนาและยืดหยุ่นสูง
คำแนะนำในการเลือกแผ่นรองนอน
- ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีค่า R-value ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศที่จะกางเต็นท์ โดยค่า R-value ทั่วไปมีดังนี้
- 1-2: เหมาะสำหรับสภาพอากาศอบอุ่น
- 2-3: เหมาะสำหรับสภาพอากาศเย็นสบาย
- 3-4: เหมาะสำหรับสภาพอากาศหนาวเย็น
- 4-5: เหมาะสำหรับสภาพอากาศหนาวจัด
- ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีขนาดพอดีกับร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศหรือความชื้นไหลเข้ามาด้านใน
- ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีวัสดุกันน้ำหรือกันความชื้น เพื่อปกป้องร่างกายจากความชื้น
- ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีน้ำหนักเบาและพกพาสะดวก
- ควรเลือกแผ่นรองนอนที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณ