เราวางแผนไปแคมป์ ในช่วงวันหยุด 13-16 ตุลาคม 2565 กำหนดสถานที่ไว้ที่ "ลานกางเต็นท์บ้านถ้ำเสือโฮมสเตย์"
แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พอใกล้ถึงวันเดินทางมีทั้งข่าวพายุฝน ข่าวน้ำท่วมที่มาใกล้บ้านนนทบุรีเข้ามาทุกที จนเกือบจะตัดสินใจยกเลิกทริปไปแล้ว
1 วันก่อนเดินทาง อากาศเริ่มดีขึ้น ฝนหยุดตกแล้ว เรื่องน้ำท่วมน้ำท่าก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร พวกเราตัดสินใจกันใหม่กับเพื่อนๆ ร่วมทริป ว่า “ไป” แต่เปลี่ยนสถานที่จากบ้านถ้ำเสือโฮมสเตย์ ที่ยังมีฝนตกอยู่ เป็นนครนายก หาสถานที่โทรติดต่อสอบถามแล้วจบที่ ลานกางเต็นท์หาดทองย้อย ตำบลสาริกา อ.เมือง จังหวัดนครนายก ระยะทางจากบ้านนนทบุรี ประมาณ 125 กม. ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม. แบบสบายๆ
เราออกเดินทางจากบ้านเจ็ดโมงครึ่ง เพื่อไปรวมพลกันที่ ร้านกาแฟชายทุ่ง ถนนรังสิต-นครนายก คลองสี่ สั่งกาแฟทาน ถ่ายรูปนิดหน่อย แล้วออกเดินทางต่อ เราไปถึงที่ตั้งแคมป์ หาดทองย้อย ประมาณ 10 โมงเช้า เป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาวันนี้ ทำให้เราเลือกทำเลได้ตามใจชอบ
หาดทองย้อย เป็นลานกางเต็นท์เล็กๆ อยู่ติดชายคลอง ที่มีสโลแกนแนะนำตัวในเพจว่า "หาดทองย้อย จุดกางเต็นท์ที่เงียบสงบ โอบล้อมด้วยป่าเขา นอนฟังเสียงน้ำไหลเป็นเหมือนธรรมชาติบำบัด" ซึ่งสัมผัสแรกที่เราได้รับเมื่อก้าวลงจากรถ เป็นเหมือนอย่างคำแนะนำตัวข้างต้นไม่ผิดเพี้ยน
ลานกางเต็นท์หาดทองย้อย เก็บค่าบริการกางเต็นท์ 170 บาท/คน/คืน มีจุดพ่วงไฟฟ้าให้บริการ เตรียมสายไฟไปให้ยาวหน่อย ประมาณ 20 ม. ที่ลานมีร้านค้าเล็กๆ ขายเครื่องดื่ม น้ำแข็ง ของใช้ต่างๆ มีร้านกาแฟสดไว้บริการ และสามารถสั่งอาหารตามสั่งได้
หาดทองย้อย จะมีจุดกางเต็นท์ 2 ลาน คือ ลานริมน้ำ และ ลานวิวสูงบนเนิน แต่ช่วงน้ำหลากจะเปิดให้บริการเฉพาะลานบนเนิน เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
เราเลือกจุดกางเต็นท์ ตรงสนามหญ้ากลางลานใหญ่ ใกล้กับบันใดทางลงไปเล่นน้ำ ทริปนี้กลุ่มตากะยายไปกัน 2 กลุ่ม ใช้พื้นที่มากหน่อย เราแบ่งพื้นที่เป็น 3 บล็อก คือ จุดกางทาร์ปสำหรับพื้นที่ทำอาหารและโต๊ะทานข้าวซึ่งต่อไปนี้เราจะเรียกว่า "ห้องโถงกลาง" (อลัง…มั้ยละ) และพื้นที่กางเต็นท์ขนาบซ้ายขวาด้านละหลัง
เราใช้เวลากางเต็นท์ไม่นานนักเพราะเริ่มเป็นมืออาชีพกันแล้ว ผ่านมาหลายทริป และรอบนี้ได้เต็นท์ใหม่มากางง่าย เก็บง่าย (ตามคลิปด้านล่าง)
กางเต็นท์เสร็จมีเวลานั่งพักนอนพักอีกนานกว่าจะถึงมื้อเย็น …ลงเล่นน้ำสิครับ... รออะไร
น้ำใส..เย็น...ไหลเชี่ยวพอประมาณ ไม่ลึกมากประมาณช่วงเอว เด็กๆ ลงเล่นได้ แต่มีหินเยอะหน่อยเวลาเล่นน้ำต้องระวัง เล่นน้ำกันสนุกสนานกันพอสมควรแก่เวลา ขึ้นจากน้ำรู้สึก โล่ง เบา สบายตัว สบายใจ นี่แหละที่เขาเรียกว่า ...ธรรมชาติบำบัด
เดินไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับสำรวจห้องน้ำไปด้วย ที่นี่มีห้องน้ำใหญ่ แยกชายหญิง ด้านข้างจะมีจุดล้างจานมี 6 อ่าง พร้อมที่วางของ ยืนล้างได้สะดวก
จุดล้างจ้าน กว้าง สะอาด
ใกล้ตะวันตกดิน ฟ้าสีแดงส้มสวย มีแสงอ่อนๆ ส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ สายลมเย็นพัดผ่านมา บอกได้คำเดียวว่า "ฟินเว่อร์"
ทริปนี้เราตั้งครัวใหญ่แบบ 2 เตา ใช้ชุดโต๊ะครัว DIY ที่ออกงานนี้เป็นครั้งที่ 2 และเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสมาชิกแคมป์ จนแนะนำกันให้ตาทำขายกันเลยทีเดียว
เชฟพี่ยูเริ่มเตรียมอาหาร ปล่อยมาทีละเมนูเริ่มจากกุ้งชุบแป้งทอด หมูสามชั้นทอดเกลือและปลากระพงนึ่งเห็ดหอมและผักรวม อร่อยมากๆทุกเมนู สมาชิกร่วมเต็นท์ลงนั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหารที่ ห้องโถงกลาง เปิดเพลงรักยุค 70-90 จากลำโพงบลูทูชประจำแคมป์ฟังเบาๆ และแล้ว… "รักมิใช่ ดวงดาวเมื่อพราวแสดง" ก็มา…
คืนนี้ท้องฟ้ามีดาว มองเห็นพระจันทร์สวย อากาศเย็นใกล้เคียงหนาว และไม่มีเค้าว่าฝนจะตกอย่างที่กังวลกัน บรรยากาศแบบนี้ทำให้นั่งจิบน้ำชากันเพลิน…ซิครับ กว่าเราจะเข้าเต็นท์นอนก็ผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว
งีบหลับไปสักชั่วโมงกว่าๆ รู้สึกปวดท้องมาก เหมือนท้องจะเสีย เลยปลุกยายที่กำลังหลับสบายไปเป็นเพื่อนเข้าห้องน้ำ นั่งห้องน้ำอยู่สักพัก อาการท้องเสียยังไม่ดีขึ้น กลับมาเต็นท์ สักพักก็ปวดท้องอีก สรุปวิ่งเข้าออกห้องน้ำทั้งคืน 4-5 รอบ พูดได้ว่าเข้าออกห้องน้ำจนสนิทกับน้องตุ๊กแกเจ้าถิ่นกันไปเลย!! เช้ามาตายังมีอาการมวนท้อง ปวดท้อง ท้องเสีย แถมมีใข้สูงอีก ยายต้องขับรถออกไปหาซื้อยาที่ตลาดมาให้กิน แล้วให้นอนพัก
ยายกับผองเพื่อนมีโปรแกรมไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวใกล้ๆ ซึ่งมีหลายที่ที่น่าสนใจ เริ่มจาก "ทุ่งนาน้อย" ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เรากางเต็นท์ออกไปเพียง 7 กม. เป็นจุดชมวิวธรรมชาติทุ่งนา เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของนครนายก มีคาเฟ่เก่ จุดสะสมของเก่าในอดีต ให้เดินเที่ยวชมและถ่ายรูปในบรรยากาศย้อนยุควิถีพื้นบ้านแบบไทยๆ
.jpg)
.jpg)
ต่อด้วย "น้ำตกสาริกา" ซึ่งใช้เวลาเดินทางต่อไปอีกนิดเดียว น้ำตกสาริกา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นน้ำตกที่มีสายน้ำลงมาจากหน้าผาสูง เกือบ 200 เมตร ไหลหลั่นลงมาเป็นชั่นเล็กๆ อีกมากมาย และมีแอ่งน้ำให้เล่นแบบชุ่มฉ่ำ ยายและเพื่อนๆ ใช้เวลาท่องเที่ยวกันประมาณ 3 ชม. เก็บภาพประทับใจมาฝากตาที่นอนเฝ้าเต็นท์ด้วยอาการไข้ขึ้น
เรานอนเต็นท์ที่เดิมต่ออีก 1 คืน ทำให้ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก ทำกิจกรรมสบายๆ ผ่อนคลาย เล่นน้ำ นอนพักผ่อน นั่งฟังเพลง ดื่มด่ำกับธรรมชาติกันตามอัธยาศัย ตกเย็นอาการป่วยของตาเริ่มดีขึ้น เชฟพี่ยูเริ่มทำมื้อเย็น วันนี้เปิดครัวด้วย ผัดซีอิ้วเส้นใหญ่ ปีกไก่ทอดน้ำปลา และหมูผัดพริก อิ่มเอมไปตามกัน ทานข้าวเสร็จก็ตั้งวงพูดคุย ดื่มน้ำชา(...ตางดดื่ม 1 วัน 5555) ตารับหน้าที่ดีเจเปิดเพลงย้อนยุคฟังกันตามวัย จนดึกแล้วก็แยกย้ายเข้าเต็นท์นอน เก็บพลังและความสุขไว้ให้เต็มหัวใจไปอีกวัน
เช้าวันที่ 15 เราต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว ทำอาหารเช้าง่ายๆ กาแฟ ไข่ลวก ข้าวต้มหมู ไข่เจียว ทานเสร็จก็เร่งเก็บเต็นท์ เก็บครัว เพราะมีลมพัดแรงและฝนเริ่มตั้งเค้า เก็บของขึ้นรถเสร็จแล้ว แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว พร้อมออกเดินทาง เวลา 11 โมง วันนี้ระหว่างทางเรามีอีก 2 โปรแกรมที่ต้องทำ
บันทึกความประทับใจลานกางเต็นท์ หาดทองย้อย ไว้ในอ้อมใจ มีโอกาสจะกลับมาใหม่
ระหว่างการเดินทางกลับ เราตั้งใจแวะกราบไหว้สักการะและชมความงามของวังพญานาค ขอพรองค์ปู่องค์ย่าที่ "วัดมณีวงค์"
วัดมณีวงค์ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุนับร้อยปี ตั้งอยู่ที่บ้านหนองกระพ้อ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก ไฮไลท์ที่วัดนี้เลยก็คือวังรัตนมณีมหานครบาดาลนาคราช หรือวังพญานาคทางวัดจะเปิดให้เข้าชม ทุกวัน ตั้งแต่ 7.00-17.00 น. เราขับรถมุ่งตรงไปที่จอดรถที่ทางวัดได้จัดไว้สามารถรองรับปริมาณรถได้จำนวนมาก วันนี้เป็นวันหยุดยาวคนเยอะ หาที่จอดยากหน่อย แต่ยังพอมีที่ว่าง บริเวณรอบๆทางเดินภายในวัดจะมีร้านค้าขายของกิน ของฝากอยู่เรียงราย
เราเดินมาถึงทางเข้าวังพญานาค ด้านหน้าจะเป็นสะพานทางเข้าที่มีรูปปั้นพญานาคห้าเศียรพร้อมองค์พญานาคจำแลงที่อยู่ในสระบัวเป็นศิลปปูนปั้นที่วิจิตรจดงามมาก
เดินเข้าไปในวังพญานาค เราจะเห็น พระรัตนมณีมหาบาดาล เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองประดิษฐานอยู่ท่ามกลางเหล่าพญานาค เรากราบพระ ถ่ายรูป แล้วเดินชมวังพญานาคตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ตลอดทางเดินจะมีประติมากรรมปูนปั้นพญานาคมากมาย มีการจัดไฟแสงสีทำให้มองเห็นความวิจิตรงดงามตระการตาระยิบระยับไปหมด
ด้านหลังพระประธาน จะเป็นที่เก็บคลังมหาสมบัติของวังบาดาล ที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับ ทอง เพชร นิล จินดา พลอย มุก บอกได้เลยว่าอลังการมากๆ เที่ยวชม กราบไหว้ขอพร กันเสร็จเรียบร้อย ก็เดินทางออกจากวัด ไปทำภารกิจด่านสุดท้ายของทริปนี้ คือแวะทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารกัน
ทริปนี้ตาเลือก “ร้านอาหารป่าครัวลุงหมูกับตุ๊ดตู่จ๋า” ร้านอยู่ริมถนนรังสิต-นครนายก ซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้ว เป็นร้านอาหารเล็กๆ แต่บอกได้เลยว่า อร่อยทุกเมนู วันนี้พวกเราสั่งเมนูง่ายๆ มี กระเพราหอยชิลี ผัดฉ่าปลาช่อน ผัดผักรวม กบทอดกระเทียม และไข่เจียวหมูสับ หมดเกลี้ยงทุกจานจ้า อิ่มหนำสำราญใจ ขับรถถึงบ้านด้วยความปลอดภัย
จบทริปนี้ด้วยความประทับใจ สุข สนุก สบายอร่อย อากาศเกือบหนาวและป่วย นี่แหละ รสชาติของชีวิต…